วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฉลากคาร์บอน (Carbon Label) ทางเลือกใหม่เพื่อลดภาวะโลกร้อน







เรา ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในฐานะผู้ก่อปัญหาภาวะโลกร้อนผ่านการใช้ทรัพยากรและ พลังงานรูปแบบต่างๆ เพื่อดำเนินกิจวัตรประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทางเลือกหนึ่งเพื่อชดเชยสิ่งที่คุณทำ คือ การเลือกซื้อสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย หรือสินค้าที่มี “ฉลากคาร์บอน”

ฉลากคาร์บอน (Carbon Label) คืออะไร
ฉลาก ที่แสดงระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ โดยวิธีการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการได้มา ซึ่งสินค้าหรือบริการ โดยแสดงผลอยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent) ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการออกฉลากคาร์บอนต่อไป ฉลากคาร์บอนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

ฉลาก แบบที่ 1 ซึ่งพิจารณาการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Cradle to Grave) ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต การบรรจุหีบห่อ การใช้งาน จนกระทั่งการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งการดำเนินงานจะใช้เวลาค่อนข้างมากเนื่องจากมีกระบวนการประเมินซับซ้อน

ฉลากแบบที่ 2 ซึ่งพิจารณาการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยพิจารณาเฉพาะก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต (Production stages) เท่านั้น (Gate to gate) ซึ่งวิธีนี้จะใช้เวลาในการดำเนินงานน้อยกว่าแบบแรก โดยในช่วงแรกของโครงการจะมุ่งเน้นการออกฉลากคาร์บอนแบบที่ 2 เพื่อให้การดำเนินการออกฉลากกระทำได้รวดเร็ว เพื่อรองรับกระแสของผู้บริโภคในการมีส่วนร่วมเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลก ร้อน ส่วนการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบทั้งวงจรชีวิตเพื่อการออกฉลาก คาร์บอนแบบที่ 1 จะถูกดำเนินการในลำดับถัดไป

ฉลากคาร์บอนจะแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคทราบว่า สินค้า หรือบริการนี้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง ค่อนข้างสูง ปานกลาง ค่อนข้างต่ำ หรือ ต่ำ โดยแสดงผลเป็น 5 ระดับ โดยใช้หมายเลข 1 - 5 สินค้าที่ได้ฉลากคาร์บอนเบอร์ 5 หมายความว่า สินค้านั้นอยู่ในกลุ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศน้อยที่สุดและมี ความเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ หรืออีกนัยหนึ่งคือสินค้าหรือบริการนั้นมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและ สามารถช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนได้ ซึ่งระบบฉลากคาร์บอนนี้มีความคล้ายคลึงกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ของกระทรวงพลังงาน


มารู้จัก “ฉลากคาร์บอน” กันเถอะค่ะ

ฉลากเขียวก็มีให้เห็นกันเยอะแล้ว เรามาทำความรู้จักกับฉลากตัวใหม่ชื่อว่า “ฉลากคาร์บอน” กันเถอะค่ะ ฉลาก คาร์บอนนี้ได้รับการผลักดันจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมมือกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยให้เครือข่ายพันธมิตรจากภาคธุรกิจผลิตสินค้า และบริการที่มีคาร์บอนต่ำ ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศน้อยและติดฉลากคาร์บอนเพื่อแสดงความเป็น มิตรต่อสภาพภูมิอากาศ โดยตัวฉลากจะบอกผู้บริโภคถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอน การผลิต เพื่อให้เกิดการเลือกใช้ ทำให้สินค้าที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมล้มตายไปเอง
เหตุผล หลักในการทำฉลากคาร์บอนคือ การเกิดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นหนึ่งองค์ประกอบของก๊าซเรือนกระจก ที่ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง ปิโตรเลียม การเกษตร การดำรงชีวิตประจำวัน ฯลฯ ต่างปลดปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ จนทำให้สมดุลของชั้นบรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลงไป และเกิดเป็นภาวะโลกร้อน หนทางการลดการเกิดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ต้องช่วย กันลงมือทำ โดยข้อมูลเบื้องต้นคนไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวประมาณ 4.8 ตัน/ปี
จุดประสงค์หลักเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทย ในการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป ที่อนาคตจะมีความเข้มงวดในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างความตระหนักแก่ประชาชนไทย ให้หันมาใช้สินค้าที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อย
ทั้ง นี้ ฉลากคาร์บอนจะทำให้ผู้บริโภคได้รับทราบว่า ในขั้นตอนการผลิตสินค้านั้นๆ ผู้ประกอบการได้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นปริมาณเท่าใด หลังจากผู้ประกอบการได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแล้ว โดยขณะนี้ทาง สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยได้กำหนดฉลากคาร์บอนซ่งมีลักษณะคล้ายกับฉลากประหยัดไฟ เบอร์ 1 ถึงเบอร์ 5 ฉลากคาร์บอนแบ่งเป็น 5 ระดับ เริ่มตั้งแต่หมายเลขที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้น้อยที่สุดไปจนถึงมากที่ สุด คือ เบอร์ 1 (สีแดง) เบอร์ 2 (สีส้ม) เบอร์ 3 (สีเหลือง) เบอร์ 4 (สีน้ำเงิน) และเบอร์ 5 (สีเขียว) พร้อมระบุตัวเลขแสดงสัดส่วนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยสินค้าหรือ บริการ โดยวิธีการประเมินวัฎจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment, LCA) ผลการประเมินจะถูกเทียบเป็นปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent) เช่นฉลากคาร์บอนเบอร์ 1 จะมีพื้นฉลากสีแดง เป็นสินค้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้น้อยที่สุด ที่ 10% ฉลากเบอร์ 2 สีส้ม ลดปล่อยก๊าซฯได้ 20% ฉลากเบอร์ 3 สีเหลือง ลดปล่อยก๊าซฯ ได้ 30% ฉลากเบอร์ 4 สีน้ำเงิน ลดปล่อยก๊าซฯ ได้ 40% และฉลากคาร์บอนเบอร์ 5 มีพื้นสีเขียว เป็นสินค้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุด คือ 50% หรือสินค้านี้อยู่ในกลุ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศน้อยที่สุดและมี ความเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศมากที่สุด
ฉลาก คาร์บอนจะไม่เหมือนฉลากเขียว เพราะฉลากเขียวจะครอบคลุมทุกมิติของสินค้า ทั้งด้านวัตถุดิบ และมลพิษที่เกิดขึ้น แต่ฉลากคาร์บอนจะดูเฉพาะปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต เท่านั้น โดยเราจะแยกเรื่องการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาโดยเฉพาะ
มีการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างปีฐานพ.ศ. 2548ถึงปี พ.ศ. 2550 ของโรงงานอุตสาหรรมในกระบวนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่วัตถุดิบ การขนส่ง การบวนการแปรรูปในโรงงาน เป็นต้น ฯ (ดังภาพที่แผนภูมิ)





ข้อดีของการมีฉลากคาร์บอน
ผู้บริโภคได้อะไร

- ทาง เลือกใหม่ในการซื้อสินค้าและบริการ เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ผลิตปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ ปรับปรุงกระบวนการผลิตและพลังงานที่ใช้ เพื่อผลิตสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย
- มีส่วนร่วมกับประชาคมโลกในการลดปัญหาภาวะโลกร้อน
ผู้ผลิตได้อะไร
- ลด ต้นทุนการผลิตจากการพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ลดการใช้พลังงานฟอสซิล เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดการเกิดของเสีย
- แสดงเจตนารมณ์ในการรับผิดชอบต่อสังคม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัท
ผู้ผลิต ได้อะไร
- ลดต้นทุนการผลิตจากการพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ลดการใช้พลังงานฟอสซิล เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน
- ก็จะต้อง ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ ปรับปรุงกระบวนการผลิตและพลังงาน เพื่อแสดงเจตนาที่จะร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อม และลดภาวะโลกร้อน
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การหยุดภาวะโลกร้อน ข้อแรกที่สำคัญคือ ต้องยอมรับก่อนว่า สาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนอย่าไปโทษภาคอุตสาหกรรม แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เราทุกคนบนพื้นผิวโลก ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า การเดินทาง การขนส่ง การบริโภค การสร้างที่พักอาศัย การซื้อสินค้าต่างๆ การสร้างขยะ ล้วนมีส่วนสำคัญในการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้า ตระหนักในข้อนี้ก่อนแล้ว ก็จะเกิดความร่วมมือ ร่วมใจกันพิทักษ์ปกป้องสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของเราชาวโลกทุกคน ตราบนานแสนนาน


การขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน

• ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างปีฐาน (พ.ศ. 2548) และปีปัจจุบัน (พ.ศ. 2550)

• ร้อยละที่ลดลงของก๊าซเรือนกระจกจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการออกฉลากโดยเปรียบ เทียบกับข้อกำหนดกลางที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและองค์การบริหารจัดการก๊าซ เรือนกระจกกำหนด เพื่อทำการแบ่งระดับของฉลากต่อไป

• ค่าดำเนินการในการออกฉลาก 100,000 บาทต่อผลิตภัณฑ์

• ฉลากมีอายุ 3 ปี
เกณฑ์การประเมินการผลิตสินค้าเพื่อขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน
1. กระบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป ระหว่างปี พ.ศ.2545 ถึงปีล่าสุดที่ครบ 12 เดือน หรือ
2. กระบวนการผลิตมีระบบกำเนิดไฟฟ้าจากวัสดุชีวมวล หรือจากของเสียเพื่อใช้ภายในโรงงาน โดยอาจซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตภายนอกได้แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้าทั้ง นี้ จะไม่มีการใช้เชิ้อเพลิงฟอสซิล ในกระบวนการผลิต (ยกเว้นเพื่อการเริ่มต้นเดินระบบกำเนิดไฟฟ้าและเพื่อการเคลื่อนย้ายสิ่งของ ภายในพื้นที่สถานประกอบการเท่านั้น) และไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากของเสีย (น้ำเสีย หรือกากของเสีย/ขยะมูลฝอย) หรือ
3. กรณีที่กระบวนการผลิตมีการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในภาคอุตสาหกรรม ประเภทนั้นๆ คณะทำงานส่งเสริมการใช้ฉลากคาร์บอนจะพิจารณาเป็นกรณีไป
เวลานี้มีเอกชน 6 รายนำร่องโครงการแล้ว ได้แก่ บริษัทเอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท เต็ดตรา แพ้ค แมนูแฟคเจอริ่ง (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มบริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตกระดาษดับเบิลเอ, บริษัท อาหารสากล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตน้ำมันพืชหยก, บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต, และบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ฯลฯ โดยยังมีธุรกิจสปา การท่องเที่ยว และโรงแรม เข้าศึกษาหาช่องทางใช้ฉลากคาร์บอนด้วย


ที่มา http://women.mthai.com/views_computer-News_2_62_28931_1.women
กลุ่มงานส่งเสริมและเผยแพร่สิ่งแวดล้อม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น