ถ้าพูดถึงเรื่อง การประหยัดพลังงาน หลายคนก็คงจะเห็นภาพของการประหยัดไฟฟ้า หรือการประหยัดน้ำมัน มาเป็นลำดับแรก ๆ และก็อาจจะเข้าใจว่า พลังงานนั้นเป็นเพียงเรื่องของไฟฟ้าหรือน้ำมัน ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไรที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจแบบนั้น เพราะในชีวิตประจำวันเรามีเครื่องใช้มากมายที่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าเพื่อทำงาน ได้แก่ คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ หลอดไฟ เครื่องซักผ้า เป็นต้น แต่ความจริงแล้ว คำว่า “พลังงาน” ไม่ใช่มีความหมายแค่ไฟฟ้า เท่านั้น แต่พลังงานเป็นคำไทยที่ผสมกันขึ้นมาจากคำ 2 คำ คือ "พลัง" และ "งาน" หมายถึงพลังต่างๆที่นำมาใช้ให้เกิดเป็นงาน ซึ่งยังรวมไปถึงสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้เกิดงานได้อีก เช่น ลม (เอามาหมุนกังหันวิดน้ำเข้านา หรือเอามาปั่นไฟ) หรือแสงอาทิตย์ (เอามาต้มน้ำให้ร้อนหรือเอามาผลิตพลังไฟฟ้าโดยตรง) เป็นต้น เมื่อพลังงาน ไม่ได้หมายถึงแค่ไฟฟ้า น้ำมัน ลม แสงอาทิตย์ เท่านั้น เราจึงควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องกับคำว่าพลังงาน เพื่อให้เราเข้าใจได้ว่าในชีวิตประจำวันของเราอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน และเราก็จะสามารถใช้พลังงานได้อย่างรู้คุณค่า
พลังงานบนโลกนี้ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ
1.พลังงานใช้แล้วหมด ที่เรียกว่าใช้แล้วหมดก็เพราะหามาทดแทนไม่ทันการใช้ พลังงานพวกนี้ปกติแล้วจะอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่ขุดขึ้นมาใช้ตอนนี้ ก็เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ได้ในอนาคต หรือที่นักวิชาการเรียกกันว่า พลังงานสิ้นเปลือง หรือ พลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมัน รวมทั้งหินน้ำมัน ทรายน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ
2.พลังงานใช้ไม่หมด หรือ พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ไม้ กระดาษ ฟืน แกลบ กาก (ชาน) อ้อย ชีวมวล
(เช่น มูลสัตว์ และก๊าซชีวภาพ) น้ำ (จากเขื่อนไหลมาหมุนกังหันปั่นไฟ) แสงอาทิตย์ (ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าได้) ลม (หมุนกังหันลมผลิตไฟฟ้า) และคลื่น (กระแทกให้กังหันหมุนปั่นไฟ) และที่ว่าใช้ไม่หมดก็เพราะสามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทำฟืน หรือปล่อยน้ำจากเขื่อนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเล กลายเป็นไอ และเป็นฝนตกลงมาสู่โลกอีก หรือแสงอาทิตย์ที่ได้รับจากดวงอาทิตย์อย่างไม่มีวันหมดสิ้น เป็นต้น

เมื่อเราได้รู้ประเภทของพลังงานในโลกนี้แล้ว จากนี้ไปเราก็สามารถเข้าใจได้แล้วว่าความจริงแล้วพลังงานมีความเกี่ยวข้องกับเราทุกคนอยู่เป็นประจำวัน ดังนั้น เราควรตระหนักถึงความสำคัญของการนำพลังงานมาใช้ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น