วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552


เกษตรยั่งยืนรายย่อยช่วยลดโลกร้อน
โดย นางสาวรัชดาภรณ์ บุญสาระวัง นักวิชาการสิ่งแวดล้อม

การเกษตรรายย่อยช่วยลดโลกร้อน เป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการผลิตทางเกษตรในปัจจุบันที่มีผลต่อภาวะโลกร้อนในแง่มุมของอิทธิพลของลักษณะการทำการเกษตร ที่เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน และทางเลือกของรูปแบบการเกษตรที่เหมาะสม ที่ชะลอการเกิดภาวะโลกร้อนได้ โดยสาเหตุที่ทำเกิดภาวะโลกร้อนจากกระบวนการผลิตทางการเกษตร ได้แก่
1.การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อการขนส่งอาหาร
2.การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพโดยการผลักดันรูปแบบการเกษตรเคมีและการปลูกพืชเชิงเดี่ยว
3.การแปลงเปลี่ยนที่ดินและป่าให้เป็นพื้นที่นอกการเกษตร
4.การแปลงเปลี่ยนการเกษตรจากการเป็นตัวผลิตพลังงานไปเป็นตัวบริโภคพลังงาน
5.การบังคับใช้กระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรม
ส่วนทางเลือกการเกษตรที่เหมาะสม ได้แก่
1.การสร้างอธิปไตยทางด้านอาหาร
2.การเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนจากการเกษตรจำเป็นต้องพิจารณากิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสร้างจิตสำนึกในการดำรงชีวิตให้เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้เกิดความสำเร็จได้มากขึ้น
ภาวะโลกร้อนเป็นปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง อันเกิดจากก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นตัวเก็บกักความร้อนจากดวงอาทิตย์ มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จนทำให้การถ่ายเทพลังงานความร้อนของโลกเสียสมดุล โดยก๊าซเรือนกระจกส่วนหนึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ อาทิ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการทำลายป่าไม้ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซมีเทนและ ไนตรัสออกไซด์จากการเกษตร /ปศุสัตว์ การทำเหมืองถ่านหินและการฝังกลบขยะ ก๊าซโอโซน จากควันท่อไอเสียและสารฮาโลคาร์บอนในกระบวนการแปรรูปอุตสาหกรรม โดยอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นถึงแม้จะเพียงน้อยนิดแต่ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอื่น เช่น กระแสทิศทางลม การปกคลุมของเมฆ ความแปรปรวนของหยาดน้ำฟ้า (precipitation)และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลรวมทั้งมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติและการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแง่ต่างๆ
ทั้งนี้กิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นตัวการเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน ที่สำคัญ ได้แก่ การใช้พลังงานเชื้อเพลิง การอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาการเกษตร โดยกิจกรรมด้านการเกษตรซึ่งถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานของการผลิตอาหารสำหรับประชากรโลกมีข้อมูลของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ยืนยันว่ามีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดภาวะโลกร้อนไปสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งคิดเป็น ร้อยละ 24 โดยประมาณ หรือ 1 ใน 4 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด จำนวน 344 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในปี 2550
แต่อย่างไรก็ตามนอกจากการเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนแล้ว การพัฒนาการเกษตรของมนุษย์ยังได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจ ศึกษาหางเลือกที่เหมาะสมทางการเกษตร เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา

การเกษตรกับภาวะโลกร้อน
วิถีการผลิต การบริโภคและการค้าในโลกปัจจุบัน เป็นปัจจัยที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล รวมถึงการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก ที่กำลังคุกคามระบบนิเวศและ มนุษย์ให้เดินไปสู่ทางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศแห่งความหายนะ การอุบัติขึ้นของภาวะโลกร้อนดังกล่าว จึงเป็นการแสดงให้เห็นภาพความล้มเหลวของรูปแบบการพัฒนาที่พึ่งพาการบริโภคพลังงานฟอสซิลในระดับสูง และการผลิตที่ล้นเกิน ตลอดจนการเปิดเสรีทางการค้า ผลกระทบจากการเกิดความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก มักส่งผลรุนแรงต่อการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ซึ่งอาศัยสภาพแวดล้อมเป็นพื้นฐานในการผลิตหลัก เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ไม่เป็นไปตามฤดูกาล ก่อให้เกิดภาวะฝนแล้ง น้ำท่วม และพายุอย่างผิดปกติ ทำลายพืชผลไร่นาและที่อยู่อาศัยของเกษตรกร นอกจากนี้พันธุ์พืชและสัตว์กำลังสูญหายไปในอัตราที่รวดเร็วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เกษตรกรต้องปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยการเลือกใช้เมล็ดสายพันธุ์ใหม่ที่ทนทานขึ้น และเปลี่ยนระบบการเพาะปลูกอยู่ตลอดเวลาให้สอดคล้องตามสถานการณ์ที่พยากรณ์มิได้ นอกจากนี้ ภาวะฝนแล้งและน้ำท่วมยังส่งผลต่อผลผลิตพืชที่ได้จากการเก็บเกี่ยวลดจำนวนลง ยังความหิวโหยให้เกิดในหมู่คนจำนวนมากในโลก โดยมีการศึกษาที่ทำนายว่าผลผลิตจากไร่นาทั่วโลกจะลดลง 3 ถึง 16% ภายในปี 2623 ส่วนในเขตร้อน ภาวะโลกร้อนจะทำให้การเกษตรหดตัวลงเป็นอย่างมาก (50% ในเซเนกัล 40% ในอินเดีย) และพื้นที่การเกษตรจะกลายเป็นทะเลทรายในอัตราที่เร็วขึ้น แต่ในทางกลับกัน พื้นที่ขนาดใหญ่ในรัสเซียและแคนาดา ที่เคยเยือกแข็งตลอดปี จะกลายเป็นพื้นที่ที่จะสามารถทำการเกษตรได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะปลูกพืชในที่นั้นได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามระบบการผลิตและการบริโภคอาหารที่ดำเนินการโดยบรรษัทธุรกิจ ที่อาศัยกระบวนการผลิตทางการเกษตรขนาดใหญ่ กลับเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน การบ่อนทำลายชุมชนชนบท การขนส่งอาหารข้ามทวีป การผลิตแบบเชิงเดี่ยว การทำลายดินและป่า และการใช้สารเคมีในการเกษตร ล้วนกำลังแปลงเปลี่ยนการเกษตรไปเป็นการบริโภคพลังงาน ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้นโยบายเสรีนิยมใหม่ที่กำหนดมาจากองค์การการค้าโลกและข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศและระดับภูมิภาค รวมทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ส่งผลให้อาหารที่ผลิตขึ้นต้องผ่านกระบวนการที่ใช้ยาปราบศัตรูพืชและปุ๋ยที่ทำมาจากน้ำมัน และขนส่งไปทั่วโลกด้วยน้ำมัน เพื่อการแปรรูปและบริโภค ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกเนื่องจากสาเหตุ ดังนี้
1. จากการขนส่งอาหารไปทั่วโลก อาหารสดและอาหารบรรจุหีบห่อแต่ละชิ้นกำลังเดินทางไปรอบโลก ตัวอย่างเช่น ในยุโรปและในสหรัฐอเมริกา จะพบเห็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ หรือเหล้าไวน์ ที่ผลิตในอาฟริกา อเมริกาใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรต่าง ๆ และเราจะพบข้าวจากเอเชียไปวางขายในทวีปอเมริกาหรือในอาฟริกา เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ไปเพื่อการขนส่งอาหารนั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศเป็นจำนวนหลายตัน องค์การชาวไร่ชาวนาของสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ ยูนิแตร์ คำนวณไว้ว่า หน่อไม้ฝรั่ง 1 กิโลกรัมที่นำเข้ามาจากเม็กซิโกต้องใช้น้ำมันขนส่งทางเรือบินถึง 5 ลิตร มาที่สวิตเซอร์แลนด์ (ระยะทาง 11,800 กิโลเมตร) ขณะที่หน่อไม้ฝรั่งจำนวนเท่ากัน หากผลิตในสวิตเซอร์แลนด์เองใช้น้ำมันเพียง 0.3 ลิตรก็ถึงมือผู้บริโภค
2. จากการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ (และอ่างเก็บคาร์บอน) คาร์บอนเป็นสารที่พืชดักเก็บจากอากาศเอามาตุนไว้ในเนื้อไม้และอินทรียวัตถุในดิน ระบบนิเวศบางประเภท เช่น ป่าไม้พื้นเมือง ป่าพรุ และทุ่งหญ้า เก็บตุนคาร์บอนได้มากกว่าประเภทอื่น วงจรคาร์บอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของสมดุลของภูมิอากาศมาเป็นเวลาแสน ๆ ล้านปี ธุรกิจการเกษตรของบรรษัทได้ทำลายสมดุลดังกล่าว โดยการผลักดันรูปแบบการเกษตรเคมีอย่างกว้างขวาง (ด้วยการส่งเสริมยาปราบศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีที่ผลิตจากน้ำมัน) โดยการเผาป่าเพื่อทำไร่พืชเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่ และโดยการทำลายป่าพรุและความหลากหลายทางชีวภาพ
3. จากการแปลงเปลี่ยนที่ดินและป่าให้เป็นพื้นที่นอกการเกษตร ป่าไม้ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และที่ดินทำกิน กำลังถูกแปลงเป็นพื้นที่ทำธุรกิจการเกษตร หรือศูนย์การค้า โรงงานอุตสาหกรรม บ้านขนาดใหญ่ ๆ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือรีสอร์ทของนักท่องเที่ยว การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศมากขึ้น และลดขีดความสามารถของสิ่งแวดล้อมที่จะดูดซับคาร์บอนจากอากาศในขณะเดียวกัน
4. จากการแปลงเปลี่ยนการเกษตรจากการเป็นตัวผลิตพลังงานไปเป็นตัวบริโภคพลังงาน เรื่องของระดับพลังงาน บทบาทแรกของพืชและการเกษตรคือการแปลงพลังงานแสงแดดให้เป็นพลังงานที่อยู่ในรูปของน้ำตาลและเซลลูโลส ซึ่งสามารถดูดซับไว้ได้ในอาหารหรือแปลงรูปโดยสัตว์เป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ กระบวนการนี้เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่นำพลังงานเข้ามาอยู่ในห่วงโซ่อาหาร แต่กระบวนการทำให้การเกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นใน 2 ศตวรรษที่ผ่านมาก่อให้เกิดการเกษตรแบบที่บริโภคพลังงาน (ปุ๋ยเคมี เครื่องจักร สารเคมีการเกษตรที่ทำจากน้ำมัน)
5.จากการบังคับใช้กระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรม โดยการใช้เครื่องจักรกล การปลูกแบบเชิงเดี่ยวและเข้มข้น การใช้สารเคมี หรือเป็นการเกษตรแบบที่เรียกกันว่า “สมัยใหม่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกษตรแบบอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยว กำลังทำลายกระบวนการธรรมชาติในดิน ซึ่งนำไปสู่การกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในอินทรียวัตถุ และเปลี่ยนเป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดจากปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช การใส่ปุ๋ยเคมีและการปลูกพืช รวมทั้ง การทำฟาร์มปศุสัตว์ เป็นการผลิตก๊าซไนตรัสออกไซด์ และ ก๊าซมีเทนจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ก่อภาวะโลกร้อน โดยในยุโรป ร้อยละ 40 ของพลังงานที่ใช้ไปในฟาร์มมาจากการผลิตปุ๋ยไนโตรเจนซึ่งถือว่าเป็นการใช้พลังงานจำนวนมาก ทั้งนี้ การเกษตรแบบอุตสาหกรรมยังต้องใช้พลังงานมากยิ่งขึ้นสำหรับการเดินเครื่องรถแทรกเตอร์ขนาดยักษ์เพื่อไถและคราดที่ดินและแปรรูปอาหาร จนมีผลต่อการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
นอกจากนั้นรูปแบบการทำการเกษตรเชิงเดี่ยวยังเชื่อมโยงถึงกระบวนการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ในประเด็นของพลังงานทางเลือก เพื่อใช้ทดแทนพลังงานฟอสซิลในรูปของ เชื้อเพลิงเกษตร (Agro fuels )ที่ผลิตจากพืช การเกษตร และการป่าไม้ โดยมักจะได้รับการนำเสนอในฐานะเป็นหนึ่งในทางออกที่จะแก้วิกฤตการณ์ด้านพลังงานในปัจจุบัน ภายใต้พิธีสารเกียวโต ร้อยละ 20 ของพลังงานที่ใช้ไปในโลกควรจะมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ภายในปี 2563 (ค.ศ. 2020) ซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงเกษตรด้วย แต่ในความเป็นจริง เป้าหมายการผลิตเชื้อเพลิงดังกล่าวเป็นการตอบสนองต่อระบบการขนส่งมากกว่าใช้เป็นอาหาร อุตสาหกรรมการผลิตเชื้อเพลิงประเภทนี้ยังเพิ่มภาวะโลกร้อนแทนที่จะลดลง การเอาพื้นที่ขนาดใหญ่ไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด และอ้อย เพื่อแลกกับผลดีเล็กน้อยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันจากฟอสซิล (ยกเว้นอ้อย) จะก่อให้เกิดการทำลายป่าและความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้น การผลิตเชื้อเพลิงเกษตรอย่างเข้มข้นจึงมิใช่ทางออกที่จะแก้ปัญหาโลกร้อน และมิใช่ทางแก้วิกฤตในภาคการเกษตรของโลกด้วย

เกษตรทางเลือกเพื่อการลดโลกร้อน
ความจำเป็นของการผลิตอาหารสำหรับประชากรโลกที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งยังคงต้องอาศัยกระบวนการผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ได้อาหารในปริมาณที่เพียงพอ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่ากิจกรรมการเกษตรยังเป็นสิ่งสำคัญต่อกลไก การขับเคลื่อนสังคมโลกให้ดำเนินต่อไปได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเกษตรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่อาจ ช่วยชะลอการเกิด ผลกระทบอันเกิดจากภาวะโลกร้อนได้ โดยทางเลือกที่เป็นไปได้มีดังนี้
1. การสร้างอธิปไตยทางด้านอาหาร ช่วยให้เกษตรนับล้านทำมาหากินได้และปกป้องทุกชีวิตบนโลก จากความเชื่อว่าทางแก้วิกฤตในปัจจุบัน จะต้องมาจากองค์กรจัดตั้งทางสังคมที่กำลังพัฒนาวิถีการผลิต การค้า และการบริโภค ที่อยู่บนฐานของความยุติธรรม ความสมานฉันท์ และชุมชนที่มีสุขภาวะ ไม่มีเทคโนโลยีใดจะแก้ไขหายนะภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เรากำลังประสบอยู่ได้การเกษตรยั่งยืนรายย่อยเป็นการเกษตรที่ใช้แรงงานเข้มข้น และใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย สามารถจะช่วยให้โลกเย็นลงได้โดยการเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ไว้กับอินทรียวัตถุในดิน ผ่านการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แบบยั่งยืน (การเลี้ยงวัวและแกะแบบกระจายในพื้นที่กว้างช่วยสร้างสมดุลในทางบวกในด้านของก๊าซเรือนกระจก) โดยการทำเกษตรอินทรีย์และ/หรือการปลูกพืชที่เก็บสะสมไนโตรเจนจากอากาศโดยตรง (nitrogen-fixing plants) แทนการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน โดยการผลิตก๊าซชีวภาพจากซากพืชและมูลสัตว์ในขณะที่นำอินทรียวัตถุกลับคืนให้ดินอย่างพอเพียง โดยการผลิตพลังงานจากแสงแดดบนหลังคาอาคารในฟาร์มเกษตร (โดยมีการสนับสนุนด้านการลงทุนให้แก่ฟาร์มเกษตรรายย่อย)ทั่วทั้งโลก เรามีการปฏิบัติและการปกป้องการเกษตรยั่งยืนรายย่อยระดับครอบครัว และเราเรียกร้อง “อธิปไตยทางด้านอาหาร” อธิปไตยด้านอาหารคือสิทธิของประชาชนที่จะมีอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และเหมาะสมกับวัฒนธรรมของเรา ที่ผลิตด้วยวิธีการที่สอดคล้องกับนิเวศวิทยาและยั่งยืน และสิทธิของประชาชนที่จะกำหนดระบบอาหารและการเกษตรด้วยตนเอง อธิปไตยด้านอาหารจะยึดถือความมุ่งหวังและความจำเป็นของผู้ที่ผลิต แจกจ่าย และบริโภคอาหาร เป็นหัวใจของระบบอาหารและนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอาหาร มาแทนที่ความต้องการของตลาดและของบรรษัทธุรกิจใด ๆ อธิปไตยทางด้านอาหารจะให้ความสำคัญอันดับแรกแก่เศรษฐกิจและตลาดระดับท้องถิ่น และระดับชาติ และสร้างพลังอำนาจให้แก่การเกษตรของชาวไร่ชาวนา และเกษตรกรระดับครอบครัว การประมงพื้นบ้าน การเลี้ยงปศุสัตว์ของผู้เลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้าธรรมชาติ และระบบการผลิตแจกจ่าย และบริโภคอาหารที่อยู่บนฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
2. การเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน และการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสมดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียรมีสติปัญญาและความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี แนวทางการทำการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เน้นหาข้าวหาปลาก่อนหาเงินหาทอง คือ ทำมาหากินก่อนทำมาค้าขาย ยึดหลักพออยู่ พอกิน พอใช้ ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่าย ลดความฟุ่มเฟือย ในการดำรงชีพ ความเป็นอยู่ที่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อต้องประหยัดในทางที่ถูกต้อง ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความ ถูกต้องและสุจริต ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบ และการหาเลี้ยงชีพชอบเป็นสำคัญ ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันในการค้าขาย ประกอบอาชีพแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรงเช่นอย่างที่ผ่านมา เพราะความสุขความเจริญอันแท้จริง หมายถึง ความสุข ความเจริญ ที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรมทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังจากผู้อื่น มุ่งเน้นหาข้าวหาปลา ก่อนมุ่งเน้นหาเงินหาทองทำมาหากินก่อนทำมาค้าขายภูมิปัญญาชาวบ้านและที่ดินทำกิน คือทุนทางสังคม ตั้งสติที่มั่นคง ร่างกายที่แข็งแรง ปัญญา ที่เฉียบแหลม นำความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเพื่อปรับวิถีชีวิตสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
จากที่ได้กล่าวมา ”ภาวะโลกร้อน” จึงเป็นปรากฏการณ์ที่กระทบต่อสภาพแวดล้อมและการดำรงชีวิตของมนุษย์ในทุกภูมิภาค ซึ่งเป็นความจริงที่เกิดขึ้นที่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยกิจกรรมการผลิตทางการเกษตร เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการนำไปสู่สภาพดังกล่าว ถึงแม้ว่าเป็นกิจกรรมที่มีเป้าหมายหลักเพื่อการผลิตอาหารก็ตาม ดังนั้น การสร้างอธิปไตยทางการอาหารและการเลือกทำการเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นกระบวนการผลิตทางการเกษตรที่สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนและตอบสนองความต้องการอาหารเพื่อการบริโภคของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการมีชีวิตของมนุษย์และระบบนิเวศ อาจต้องทำการแก้ไขทั้งในส่วนของกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องไม่เพียงแต่การผลิตทางการเกษตรเท่านั้น รวมทั้งการสร้างสำนึกให้เกิดการรับรู้ปัญหาและสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว ที่จะช่วยให้การแก้ไขเกิดขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ

1 ความคิดเห็น:

  1. เขียนดีมากครับ แต่น่าใส่ที่มาของข้อมูลนะครับ จะได้เป็นเอกสารเชิงวิชาการที่สมบูรณ์แบบครับ

    ตอบลบ